Saturday, May 5, 2012
เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
เมื่อกลางปี พ.ศ. 2552 เกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่เฉี่ยวชนรถที่สามีดิฉันกำลังขับออกจากห้างแห่งหนึ่งกลางซอยเอกมัย แท็กซี่ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และยังมีภาพถ่ายรถแท็กซี่คร่อมเส้นกลางถนนขณะเกิดเหตุรถชนซึ่งสามีดิฉันถ่ายไว้เป็นหลักฐานให้ร้อยเวรดู แต่ร้อยเวรกลับเกลี้ยกล่อมจะให้สามีดิฉันเสียเงินค่าปรับฐานขับรถโดยประมาทซึ่งจะทำให้ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับแท็กซี่ด้วย โชคดีที่เราปรึกษากันทางโทรศัพท์ก่อน เย็นวันนั้นจึงรอดตัวไป ไม่ได้หลวมตัวจ่ายค่าปรับ
หลังจากวันนั้นไม่ว่าจะปรึกษาใครดูเหมือนทุกฝ่ายจะพยายามให้สามีดิฉันเป็นฝ่ายยอมทั้งนั้น คำกล่าวที่ว่าความรู้คืออาวุธนั้นถูกต้องที่สุด ขณะนั้นสามีดิฉันยังไม่รู้เรื่องกฎหมาย ยังขาดอาวุธสำคัญ ยังไม่รู้ว่าจะต่อสู้ทางกฎหมายอย่างไร แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเราไม่ผิด จึงยืนยันที่จะไม่เสียค่าปรับแม้ว่าในเวลาต่อมาร้อยเวรผู้นั้นจะเปลี่ยนจากเดิมที่จะให้สามีดิฉันเป็นผู้ผิดฝ่ายเดียว เป็นจะปรับฐานขับรถโดยประมาททั้งคู่คือปรับทั้งสามีดิฉันและแท็กซี่ก็ตาม เราประคองตัวผ่านพ้นเรื่องนี้มาได้ คดีหมดอายุความ รอดพ้นจากการถูกยัดเยียดความผิดไปในที่สุด
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้สามีดิฉันตัดสินใจสมัครเรียนกฎหมาย (9 วันหลังเกิดเหตุรถชน) สามปีผ่านไปพร้อมกับการสกัดกั้นทุกรูปแบบ ในที่สุดสามีดิฉันก็มาจนถึงปลายทาง ได้เข้าสอบวิชาสุดท้ายของหลักสูตรเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 ก้าวสู่การเป็นนิติศาตร์บัณฑิตสมความตั้งใจแล้ว
กฎหมายมีความสำคัญกับทุกคนทุกเรื่องจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย นอกจากได้ติดอาวุธทางปัญญาแล้วสามีของดิฉันยังมีโอกาสพบโลกใบใหม่ที่ “ใช่” สำหรับเขาอีกด้วย
ขอบคุณ...........
Wednesday, February 29, 2012
กัลยาณมิตร
เท่าที่ผ่านมา ด้วยความโง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน ทุกอย่างในชีวิตดิฉันก็น่าจะพังพินาศไปหมดแล้วและอาจไม่ได้อยู่มาจนกระทั่งถึงปีนี้ ปีที่อายุย่างเข้าปีที่ 57 ก็เป็นได้
แต่เพราะมีกัลยาณมิตรดิฉันจึงมีวันนี้
นอกเหนือจากหลายคนในหมู่เครือญาติที่มีพระคุณแล้ว ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยังอยู่โรงเรียนประจำบางคนก็ช่วยเหลือแบบปิดทองหลังพระ จนทุกวันนี้ดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ชีวิตช่วงต่อมามีอยู่หลายครั้งตอนขณะกำลังเกิดเหตุวิกฤตหน้าสิ่วหน้าขวานก็มีผู้เข้าช่วยเหลือไว้อย่างทันท่วงที
ดิฉันจึงอยากขอบคุณกัลยาณมิตรทั้งหลายทั้งที่ดิฉันรู้และไม่รู้ ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งผู้อาวุโสและด้อยอาวุโสกว่าดิฉันไว้ ณ โอกาสนี้
ดิฉันจะจดจำพระคุณความดีงามของท่านไว้ตลอดไป
แต่เพราะมีกัลยาณมิตรดิฉันจึงมีวันนี้
นอกเหนือจากหลายคนในหมู่เครือญาติที่มีพระคุณแล้ว ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยังอยู่โรงเรียนประจำบางคนก็ช่วยเหลือแบบปิดทองหลังพระ จนทุกวันนี้ดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ชีวิตช่วงต่อมามีอยู่หลายครั้งตอนขณะกำลังเกิดเหตุวิกฤตหน้าสิ่วหน้าขวานก็มีผู้เข้าช่วยเหลือไว้อย่างทันท่วงที
ดิฉันจึงอยากขอบคุณกัลยาณมิตรทั้งหลายทั้งที่ดิฉันรู้และไม่รู้ ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งผู้อาวุโสและด้อยอาวุโสกว่าดิฉันไว้ ณ โอกาสนี้
ดิฉันจะจดจำพระคุณความดีงามของท่านไว้ตลอดไป
Saturday, December 31, 2011
รักเธอประเทศไทย......ก่อนจะสายเกินไป
ประเทศไทยอยู่ในทำเลทอง มีการเกษตรเป็นหลัก จนมีคนพูดว่าเราเหมือนครัวของโลก
แต่เกษตรกรส่วนมากต้องมีชีวิตที่แร้นแค้น ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐ เช่นกรณีเขื่อนปากมูล ที่ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากไร้ที่ทำกินต้องกลายมาเป็นชาวนารับจ้างหรือกรรมกร สูญเสียวิถีชีวิตที่เคยอยู่อย่างอิสระและมีศักดิ์ศรี ในที่สุดก็เกิดปัญหาสังคมต่างๆตามมา
ลูกหลานของคนเหล่านี้คงไม่สามารถหนีรอดจากวงจรนี้ได้ เมื่อคนส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในสภาพปากกัดตีนถีบ เอาตัวรอด แล้วจะเป็นผลดีกับเรื่องประชาธิปไตยได้อย่างไร
ก่อนจะสิ้นปี พ.ศ 2554 นี้ ขอให้คนไทยทั้งหลายได้ฉุกคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง บางทีอาจจะช่วยกันทำอะไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองที่รักของเราดีขึ้นได้บ้าง
ถ้าเรามีวิถีชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานที่ทำกิน ครอบครัวก็จะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอย่างอบอุ่น มีเวลาดูแลลูกหลานได้อย่างใกล้ชิดไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เป็นปัญหาสังคม ครอบครัวมั่นคงแข็งแรง เป็นตัวของตัวเอง สามารถยืนหยัดเพื่อความถูกต้องได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง บ้านเมืองจะอยู่กันด้วยความสงบสุข สภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก่อนอื่นเกษตรกรต้องมีที่ดินทำกิน เกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้วจึงต้องพยายามรักษาเรือกสวนไร่นาของตนเอาไว้ ไม่ขายทิ้งง่ายๆ ไม่เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า บางกรณีรัฐบาลก็ต้องเข้าช่วยเพื่อมิให้ที่ดินต้องหลุดไปจากมือเกษตรกร ภัยที่กำลังรุกคืบเข้ามาประการหนึ่งคือการกว้านซื้อที่ดินของต่างชาติ โดยเฉพาะที่ดินเกษตรกรรมซึ่งผลที่สุดเกษตรกรไทยอาจกลายเป็นเพียงผู้ขายแรงงานทางการเกษตร
เรื่องน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ที่มีคนตายไปกว่า 600 ราย ก็น่าคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง มีข้อมูลความผิดปกติหลายประการที่เล็ดลอดออกมาตามสื่อต่างๆ และผลสุดท้ายหากชาวไร่ชาวนาอพยพหนีไปจากพื้นที่น้ำท่วมขัง จะมีคนกว้านซื้อที่ดินทำเลทองเหล่านั้นรึเปล่า?
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ท่ามกลางการแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างไร้พรมแดน ดิฉันก็แค่คนตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นแต่ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะรักเธอประเทศไทย............ก่อนจะสายเกินไป
แต่เกษตรกรส่วนมากต้องมีชีวิตที่แร้นแค้น ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐ เช่นกรณีเขื่อนปากมูล ที่ส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากไร้ที่ทำกินต้องกลายมาเป็นชาวนารับจ้างหรือกรรมกร สูญเสียวิถีชีวิตที่เคยอยู่อย่างอิสระและมีศักดิ์ศรี ในที่สุดก็เกิดปัญหาสังคมต่างๆตามมา
ลูกหลานของคนเหล่านี้คงไม่สามารถหนีรอดจากวงจรนี้ได้ เมื่อคนส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในสภาพปากกัดตีนถีบ เอาตัวรอด แล้วจะเป็นผลดีกับเรื่องประชาธิปไตยได้อย่างไร
ก่อนจะสิ้นปี พ.ศ 2554 นี้ ขอให้คนไทยทั้งหลายได้ฉุกคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง บางทีอาจจะช่วยกันทำอะไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองที่รักของเราดีขึ้นได้บ้าง
ถ้าเรามีวิถีชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน ไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานที่ทำกิน ครอบครัวก็จะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอย่างอบอุ่น มีเวลาดูแลลูกหลานได้อย่างใกล้ชิดไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เป็นปัญหาสังคม ครอบครัวมั่นคงแข็งแรง เป็นตัวของตัวเอง สามารถยืนหยัดเพื่อความถูกต้องได้ สังคมก็จะเข้มแข็ง บ้านเมืองจะอยู่กันด้วยความสงบสุข สภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก่อนอื่นเกษตรกรต้องมีที่ดินทำกิน เกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่แล้วจึงต้องพยายามรักษาเรือกสวนไร่นาของตนเอาไว้ ไม่ขายทิ้งง่ายๆ ไม่เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า บางกรณีรัฐบาลก็ต้องเข้าช่วยเพื่อมิให้ที่ดินต้องหลุดไปจากมือเกษตรกร ภัยที่กำลังรุกคืบเข้ามาประการหนึ่งคือการกว้านซื้อที่ดินของต่างชาติ โดยเฉพาะที่ดินเกษตรกรรมซึ่งผลที่สุดเกษตรกรไทยอาจกลายเป็นเพียงผู้ขายแรงงานทางการเกษตร
เรื่องน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ที่มีคนตายไปกว่า 600 ราย ก็น่าคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง มีข้อมูลความผิดปกติหลายประการที่เล็ดลอดออกมาตามสื่อต่างๆ และผลสุดท้ายหากชาวไร่ชาวนาอพยพหนีไปจากพื้นที่น้ำท่วมขัง จะมีคนกว้านซื้อที่ดินทำเลทองเหล่านั้นรึเปล่า?
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ท่ามกลางการแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างไร้พรมแดน ดิฉันก็แค่คนตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นแต่ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะรักเธอประเทศไทย............ก่อนจะสายเกินไป
Sunday, February 14, 2010
เรวัช ธราภาค พี่ชายคนเดียวของดิฉัน

รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อเดือน ตุลาคม 2499 ตอนพี่ติ๊กสองขวบเศษ ส่วนดิฉันหนึ่งขวบ
พี่ติ๊กเกิดวันพุธ ที่ 12 สิงหาคม 2497 อายุแก่กว่าดิฉันปีเศษ เรามีกันสองคนพี่น้อง ร่วมชะตากรรมเดียวกัน สำหรับดิฉันแล้วพี่ติ๊กเป็นคนพิเศษเสมอ ช่วยเหลือดิฉันตอนเด็กๆหลายครั้ง ดิฉันอยากให้ใครๆ ได้รู้จักพี่ชายคนเดียวของดิฉันบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ ที่เขาเคยให้ดิฉัน เท่าที่ดิฉันพอจะทำได้ และที่สำคัญเรื่องราวของเขาอาจเป็นประโยชน์แก่คนอื่น
ตอนเล็กๆเราเล่นกัน ทะเลาะกันตามประสาเด็ก ผจญภัยมาด้วยกัน เขาชอบวาดรูปพวกการ์ตูนหุ่นยนต์ ซึ่งวาดได้ดีทีเดียว และยังชอบแกะดูอุปกรณ์ต่างๆ ว่าข้างในมีกลไกการทำงานอย่างไร ซึ่งถ้าเขาได้มีโอกาสเรียนทางนี้ ชีวิตเขาอาจจะเป็นอีกอย่างนึงก็ได้
เราเรียนหนังสือที่โรงเรียนเดียวกันสองแห่ง ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมที่โรงเรียนสมถวิล(พระโขนง) และที่โรงเรียนศรีวิกรม์อีกหนึ่งปี หลังจากพ่อกับแม่หย่ากันแล้ว ทั้งพ่อและแม่ต่างมีครอบครัวใหม่ ดิฉันต้องไปเข้าโรงเรียนประจำ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ตอนนั้นพี่ติ๊กอายุ 13 ขวบเศษ ส่วนดิฉัน 12 ขวบเศษ จากที่เดิมเราสองคนอยู่ในโลกใบเดียวกันสนุกสนานร่าเริงด้วยกัน กลับกลายเป็นอยู่ในโลกคนละใบ ที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ต่างคนต่างต้องไปเผชิญกับชีวิตของตัวเองตามลำพัง ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจนเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่ในส่วนลึกแล้วยังมีสายใยของความรักและความผูกพันระหว่างเราสองคนพี่น้องอยู่เสมอ
พี่ติ๊กเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนซื่อ จริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับใคร แต่เมื่อครอบครัวแตกแยกเสียก่อนตั้งแต่เยาว์วัย ยังไม่แข็งแกร่งพอ โดยเฉพาะกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เป็นจุดอ่อนให้ผู้ที่ดูเหมือนหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ทำลายหรือแสวงประโยชน์ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่เราไว้ใจและคาดไม่ถึง เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด การเรียนของพี่ชายตกลงทันที ที่เรียนแห่งสุดท้ายของพี่ติ๊กคือโรงเรียนสยามธุรกิจ
เมื่ออายุครบยี่สิบปี พี่ติ๊กต้องไปเกณฑ์ทหาร ดิฉันยังจำได้ตอนที่เขาแต่งชุดทหารพลร่ม ของศูนย์สงครามพิเศษที่ลพบุรี ตอนนั้นถึงจะเป็นพลทหารเกณฑ์ แต่ดิฉันก็เห็นรอยยิ้มของพี่ติ๊ก ที่ฉายแววของความภาคภูมิใจที่ได้เป็นทหารรับใช้ชาติ ช่วงนั้นสถานการณ์สู้รบภายในประเทศยังคงรุนแรง ดิฉันจึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ แต่เขาก็ผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเรียนน้อย ไม่มีปริญญา ชีวิตของพี่ชายจึงค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ อดทนทำงานสารพัดหาเลี้ยงครอบครัว พี่ติ๊กมีลูกสาวสองคน เขารักลูกมากที่สุด พี่ติ๊กพยายามทำหน้าที่พ่ออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ขณะมีอายุ แค่ 40 ปีเท่านั้น
ดิฉันคิดทบทวนถึงเรื่องราวของพี่ติ๊กแล้ว ก็พบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีความตั้งใจและมีความพยายามที่จะต่อสู้ชีวิตเสมอ เพียงแต่เขาอาจหลงทางไปบ้างเท่านั้นเอง ส่วนจะหลงไปเองหรือเพราะใครก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยได้ยินพี่ชายพูดกับคนสำคัญในชีวิตคนนึงว่า “ ในชีวิตนี้ “....“ จะพูดดีๆกับผมซักครั้งได้มั้ย? “ ดิฉันได้แต่น้ำตาซึม เพิ่งตระหนักว่าพี่ชายของเรามีความบอบช้ำในใจขนาดไหน นี่อาจเป็นคำตอบของปริศนาทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของดิฉันก็ได้
(ดู ความเป็นมา )
อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น
อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น
ยี่สิบกว่าปีก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะดิฉันนั่งแท็กซี่กลับจากที่ทำงาน คนขับแท็กซี่ชวนคุยไปเรื่อยๆ ตอนแรกดิฉันก็ฟังไปอย่างนั้นเองไม่ได้สนใจอะไรนัก มาสะดุดใจตอนที่เขาเล่าเรื่องการตีลูก เขาบอกว่า เขาจะไม่ตีลูกต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด เพราะกลัวลูกจะอับอาย ความอับอายนี้จะกลายเป็นแผลในใจเจ็บลึกยิ่งกว่าการถูกตีเสียอีก เป็นผลเสียซะมากกว่า เพราะแทนที่ลูกจะเชื่อฟัง การตีลูกต่อหน้าคนอื่นอาจยิ่งทำให้เด็กเสียคนหนักขึ้นไปอีกก็ได้ การพูดจาให้เข้าใจกันต้องมาก่อน ดิฉันรู้สึกทึ่งกับความคิดที่ดีของเขาขึ้นมาทันที และดิฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของเขาและจำเรื่องนี้ได้ไม่เคยลืมเลย ดิฉันไม่มีลูก แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ดิฉันจึงนำมาเล่าให้ฟังกัน
ยี่สิบกว่าปีก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะดิฉันนั่งแท็กซี่กลับจากที่ทำงาน คนขับแท็กซี่ชวนคุยไปเรื่อยๆ ตอนแรกดิฉันก็ฟังไปอย่างนั้นเองไม่ได้สนใจอะไรนัก มาสะดุดใจตอนที่เขาเล่าเรื่องการตีลูก เขาบอกว่า เขาจะไม่ตีลูกต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด เพราะกลัวลูกจะอับอาย ความอับอายนี้จะกลายเป็นแผลในใจเจ็บลึกยิ่งกว่าการถูกตีเสียอีก เป็นผลเสียซะมากกว่า เพราะแทนที่ลูกจะเชื่อฟัง การตีลูกต่อหน้าคนอื่นอาจยิ่งทำให้เด็กเสียคนหนักขึ้นไปอีกก็ได้ การพูดจาให้เข้าใจกันต้องมาก่อน ดิฉันรู้สึกทึ่งกับความคิดที่ดีของเขาขึ้นมาทันที และดิฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของเขาและจำเรื่องนี้ได้ไม่เคยลืมเลย ดิฉันไม่มีลูก แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ดิฉันจึงนำมาเล่าให้ฟังกัน
นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง
นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง
สามสิบหกปีก่อน ดิฉันเคยไปเที่ยวไร่ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งแถวโคราช ตอนนั้นเรากำลังลุ้นรอประกาศผลสอบเอ็นทร้านซ์ กลัวว่าถ้ารู้ผลก่อนอาจผิดหวังเที่ยวไม่สนุก เลยรีบเที่ยวซะก่อน เราไปกัน 4-5 คน สาวๆทั้งนั้น พอไปถึงก็จวนจะเย็นแล้ว น้ำในลำธารใสเย็นน่าลงไปว่ายเล่น พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกันทุกคน ดิฉันถูกน้องชายเพื่อนแซว ทันทีที่เขาเห็น ” นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง “ ตอนนั้นดิฉันอายแทบแย่ ดิฉันขาใหญ่แบบนักฟุตบอลจริงๆ ไม่ได้ทำอะไร เป็นมาตั้งแต่เกิด แม่ก็พูดบ่อยๆตั้งแต่ดิฉันจำความได้ว่า “ดูน่องซิ...”
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย สามีดิฉันเองเจอกันวันแรกก็แซวดิฉันเรื่องขาว่า “นึกว่าครูพละ...... ” อะไรประมาณนี้ วันนั้นดิฉันโกรธแทบแย่ แต่ในที่สุดเราก็เป็นเพื่อนกัน และใช้ชีวิตร่วมกันมาจนทุกวันนี้
ขาจะใหญ่ ขาจะเล็ก จะดำ จะขาว จะอะไรก็แล้วแต่ คงไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจกัน ยอมรับในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของกันและกันต่างหากที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืน
สามสิบหกปีก่อน ดิฉันเคยไปเที่ยวไร่ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งแถวโคราช ตอนนั้นเรากำลังลุ้นรอประกาศผลสอบเอ็นทร้านซ์ กลัวว่าถ้ารู้ผลก่อนอาจผิดหวังเที่ยวไม่สนุก เลยรีบเที่ยวซะก่อน เราไปกัน 4-5 คน สาวๆทั้งนั้น พอไปถึงก็จวนจะเย็นแล้ว น้ำในลำธารใสเย็นน่าลงไปว่ายเล่น พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกันทุกคน ดิฉันถูกน้องชายเพื่อนแซว ทันทีที่เขาเห็น ” นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง “ ตอนนั้นดิฉันอายแทบแย่ ดิฉันขาใหญ่แบบนักฟุตบอลจริงๆ ไม่ได้ทำอะไร เป็นมาตั้งแต่เกิด แม่ก็พูดบ่อยๆตั้งแต่ดิฉันจำความได้ว่า “ดูน่องซิ...”
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย สามีดิฉันเองเจอกันวันแรกก็แซวดิฉันเรื่องขาว่า “นึกว่าครูพละ...... ” อะไรประมาณนี้ วันนั้นดิฉันโกรธแทบแย่ แต่ในที่สุดเราก็เป็นเพื่อนกัน และใช้ชีวิตร่วมกันมาจนทุกวันนี้
ขาจะใหญ่ ขาจะเล็ก จะดำ จะขาว จะอะไรก็แล้วแต่ คงไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจกัน ยอมรับในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของกันและกันต่างหากที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืน
Wednesday, January 27, 2010
วัยรุ่นฟังหน่อย..... พระพุทธเจ้าช่วยวัยรุ่นได้
ดิฉันเห็นใจคนที่มีลูก สมัยนี้เลี้ยงลูกยากเพราะพ่อแม่ส่วนมากต้องทำงานงกๆ ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกให้มีความพร้อมทั้งกายและใจที่จะสู้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย แต่เราโชคดีที่เกิดเมืองพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีความเป็นอมตะและมีเหตุมีผลเสมอ เรื่องราวต่างๆในพระไตรปิฎกก็สอนเราได้หลากหลายแง่มุมของชีวิต
แต่ขณะนี้ข่าวของพระบางคนที่สื่อนำเสนอ หลายข่าวก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธา ทั้งๆที่เป็นเรื่องของพระเพียงบางคนเท่านั้น พระพวกนี้ไม่ใช่ทุกอย่างของพระพุทธศาสนา ที่ทั้งหมดประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้จะทำให้หลายคนรวมทั้งเด็กๆยิ่งห่างไกลออกไปจากศาสนาพุทธทุกทีๆ แล้วต่อไปสังคมของเราจะเป็นเช่นไร
หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ที่จะต้องศึกษาและปฎิบัติ กันอย่างจริงจัง ให้มีสติรู้เท่าทันและแก้ปัญหาได้ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ศาสนาอิสลามเขาทำละหมาดกันเป็นประจำวันละหลายครั้ง แล้วทำไมเราไม่สอนลูกหลานให้หมั่นศึกษาและปฎิบัติหลักไตรสิกขานี้ทุกวันบ้าง วัยรุ่นทั้งหลายอย่ามองข้ามพระพุทธเจ้า ท่านช่วยลูกหลานได้จริง ลองศึกษาให้ถึงแก่นแล้วจะรู้เอง ขอให้อดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจจริงๆ เท่านั้น ผลที่ได้จะมีค่ามหาศาลเกินคุ้มแน่ และจะสามารถช่วยเราได้ตลอดชีวิตจริงๆ
แต่ขณะนี้ข่าวของพระบางคนที่สื่อนำเสนอ หลายข่าวก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธา ทั้งๆที่เป็นเรื่องของพระเพียงบางคนเท่านั้น พระพวกนี้ไม่ใช่ทุกอย่างของพระพุทธศาสนา ที่ทั้งหมดประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้จะทำให้หลายคนรวมทั้งเด็กๆยิ่งห่างไกลออกไปจากศาสนาพุทธทุกทีๆ แล้วต่อไปสังคมของเราจะเป็นเช่นไร
หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ที่จะต้องศึกษาและปฎิบัติ กันอย่างจริงจัง ให้มีสติรู้เท่าทันและแก้ปัญหาได้ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ศาสนาอิสลามเขาทำละหมาดกันเป็นประจำวันละหลายครั้ง แล้วทำไมเราไม่สอนลูกหลานให้หมั่นศึกษาและปฎิบัติหลักไตรสิกขานี้ทุกวันบ้าง วัยรุ่นทั้งหลายอย่ามองข้ามพระพุทธเจ้า ท่านช่วยลูกหลานได้จริง ลองศึกษาให้ถึงแก่นแล้วจะรู้เอง ขอให้อดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจจริงๆ เท่านั้น ผลที่ได้จะมีค่ามหาศาลเกินคุ้มแน่ และจะสามารถช่วยเราได้ตลอดชีวิตจริงๆ
การศึกษาของเด็กไทย
ดิฉันไม่ได้เข้ามาพูดคุยที่นี่นานเป็นปี คงเพราะยังไม่มีอะไรโดนใจจริงๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้เผอิญเห็นคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พูดออกทีวีรายการหนึ่ง ว่ากระทรวงศีกษาธิการกำลังเปลี่ยนหลักสูตรซึ่งจะเริ่มในปี 2553 นี้เลย คือจะใช้หลักสูตรใหม่ที่จะเน้นสอนให้เด็กตั้งแต่ ป. 1 ถึง ป.3 อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น และที่สำคัญคิดวิเคราะห์ได้ในระดับหนึ่ง เห็นอะไรก็รู้จักคิดได้เอง ไม่ใช่ท่องจำแบบตะก่อน ส่วนวิชาการด้านอื่นๆค่อยมาเรียนหลังจากนั้นก็ได้ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เด็กๆ จะได้มีความสุข สนุกกับการเรียน ไม่ต้องหอบตำราไปโรงเรียนเยอะแยะให้หนักเกินไป
ถ้าเป็นจริงตามนี้ อนาคตของชาติคงเป็นความหวังให้ประเทศไทยของเราได้แน่ๆ เรื่องนี้ดิฉันเจอมากับตัวเอง คือรู้จักคิดก็เมื่ออายุมากแล้ว เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ก็ยินดีมากที่เห็นการนำเสนอของท่านอู๊ดด้าแบบนี้ เด็กรุ่นต่อไปจะมีประสิทธิภาพนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดได้แค่ไหนอยู่ที่สังคมจะช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ต่อไปให้ประสบผลสำเร็จ เพราะคนที่เสียประโยชน์จากการปฎิวัติหลักสูตรการศึกษาแบบนี้เขาคงไม่อยู่เฉยแน่ ท่านที่มีลูกหลานจะว่ายังไง...............
ถ้าเป็นจริงตามนี้ อนาคตของชาติคงเป็นความหวังให้ประเทศไทยของเราได้แน่ๆ เรื่องนี้ดิฉันเจอมากับตัวเอง คือรู้จักคิดก็เมื่ออายุมากแล้ว เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ก็ยินดีมากที่เห็นการนำเสนอของท่านอู๊ดด้าแบบนี้ เด็กรุ่นต่อไปจะมีประสิทธิภาพนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดได้แค่ไหนอยู่ที่สังคมจะช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ต่อไปให้ประสบผลสำเร็จ เพราะคนที่เสียประโยชน์จากการปฎิวัติหลักสูตรการศึกษาแบบนี้เขาคงไม่อยู่เฉยแน่ ท่านที่มีลูกหลานจะว่ายังไง...............
Saturday, January 24, 2009
แด่ George Bush
การหมดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของจอร์จ บุช เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศย่ำแย่จากพิษเศรษฐกิจโลกที่เริ่มต้นขึ้นจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งๆที่เรื่องนี้มีหลักฐานว่าส่อเค้ามานานแล้วตั้งแต่ช่วง ปี 1980 ไม่ใช่เพิ่งเกิดในสมัยของบุช แต่แผลแตกตอนนี้เท่านั้น ดังนั้นจะโทษจอร์จ บุช คงไม่ยุติธรรมนัก
บุชมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม และท่านยังเผื่อแผ่ความเอื้ออาทรไปยังผู้อื่นด้วย เช่นสมัยที่ท่านเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ดิฉันเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ ท่านพูดถึงเด็กๆที่โชคไม่ดี ประสบกับความเลวร้ายต่างๆในชีวิตจากการกระทำของพ่อแม่เด็กเองว่า ยังมีพ่อแม่บนสวรรค์คอยดูแลห่วงใยพวกเขาอยู่ ขอให้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป สำหรับคนที่ไม่มีใครเหลืออีกเลยคำพูดนี้จะมีค่ามากขนาดไหน
การกำหนดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้คนละไม่เกินสองสมัย ทำให้มีประธานาธิบดีมาแล้วนับถึงโอบามาเป็นคนที่ 44 และมีประธานาธิบดีไม่กี่คนที่จะอยู่ในใจคนได้อีกนาน แต่ดิฉันมั่นใจว่าจะมีจอร์จ บุช ทั้งพ่อและลูกคู่นี้ รวมอยู่ในจำนวนไม่กี่คนนั้นด้วยแน่ๆ
Monday, December 29, 2008
วันปีใหม่...
ดิฉันรู้สึกขอบคุณผู้ที่คิดริเริ่มให้มีการฉลองวันขึ้นปีใหม่ ทำให้วันที่พระอาทิตย์ขึ้นลงตามปกติเหมือนทุกวัน กลายเป็นวันพิเศษขึ้นมา ผู้คนมีความสุข สนุกสนาน และที่สำคัญคือมีความหวังว่าน่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมในปีที่กำลังจะมาถึง แต่บางครั้งวันปีใหม่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป วันปีใหม่ปี 2538 ดิฉันเคยเศร้าเสียใจอย่างที่สุดกับการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพี่ชายคนเดียวของดิฉัน เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนนั้นดิฉันร้องไห้ทุกวัน หลายปีกว่าจะทำใจได้
ในที่สุดดิฉันก็รู้ว่าความโศกเศร้าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราไม่ควรมัวแต่สงสารใครๆหรือสงสารตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ สิ่งที่ควรทำคือเรียกสติคืนมาแล้วก้าวต่อไป ทำประโยชน์อะไรได้ก็ลงมือทำ จะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น
ใครก็ตามที่เผอิญต้องประสบกับความเศร้าเสียใจในวันปีใหม่เช่นเดียวกับที่ดิฉันเคยพบมาแล้ว ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ ขอให้เข้มแข็ง อดทน แล้วเราจะผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไปได้ เวลาจะช่วยเราได้ทุกอย่าง
ในที่สุดดิฉันก็รู้ว่าความโศกเศร้าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราไม่ควรมัวแต่สงสารใครๆหรือสงสารตัวเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ สิ่งที่ควรทำคือเรียกสติคืนมาแล้วก้าวต่อไป ทำประโยชน์อะไรได้ก็ลงมือทำ จะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น
ใครก็ตามที่เผอิญต้องประสบกับความเศร้าเสียใจในวันปีใหม่เช่นเดียวกับที่ดิฉันเคยพบมาแล้ว ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ ขอให้เข้มแข็ง อดทน แล้วเราจะผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไปได้ เวลาจะช่วยเราได้ทุกอย่าง
Thursday, December 18, 2008
ต้นร้ายปลายดี
บางครั้งการฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ชอบก็อาจเป็นผลดีในภายหลังได้ ดิฉันนึกย้อนกลับไปตอนเด็กๆ หลังจากพ่อแม่หย่ากันแล้ว ดิฉันต้องไปอยู่โรงเรียนประจำในชั้นป.7 ตอนแรกพอรู้ว่าจะต้องย้ายไปเข้าประจำ ดิฉันกลัวมาก ขอพ่อหลายครั้งไม่ให้ส่งดิฉันไปอยู่ประจำ แต่ไม่สำเร็จ ดิฉันฝันร้ายวันก่อนเปิดเทอมทุกครั้ง ฝันว่าลืมของใช้ที่จำเป็นอยู่เสมอ คงเพราะกังวลว่าจะไม่มีใครนำของที่ลืมไปให้ที่โรงเรียน แต่ในความเป็นจริงดิฉันไม่เคยลืมอะไรเลย เพราะจัดกระเป๋าเสร็จก็ยังเช็คแล้วเช็คอีก ที่นี่เพื่อนๆส่วนมาก เข้าเรียนกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ดิฉันต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะมีตารางเวลากิจกรรมทุกอย่างตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว เข้าห้องเรียน ไปจนถึงเวลาเข้านอน โดยเฉพาะตอนกินข้าว อาบน้ำ จะมีเสียงระฆังบอกทุกครั้ง อยากกินอะไรก็ไม่ได้กินเพราะมีระเบียบไม่ให้นักเรียนนำเงินติดตัวเข้าไปและไม่มีของขายด้วย อาบน้ำก็ไม่ค่อยทันเพราะให้เวลาน้อยมาก และอะไรอีกหลายอย่าง โชคดีที่ได้ครูและเพื่อนที่ดีดิฉันจึงผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
ชีวิตในโรงเรียนประจำสอนให้ดิฉันมีระเบียบวินัย และอดทนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ดิฉันฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตมาได้ การเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ครอบครัวแตกแยกและดิฉันต้องเข้าโรงเรียนประจำทั้งๆที่ไม่ชอบเลย กลับส่งผลดีในภายหลังอย่างมหาศาล
Subscribe to:
Comments (Atom)
