Sunday, February 14, 2010

เรวัช ธราภาค พี่ชายคนเดียวของดิฉัน




รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อเดือน ตุลาคม 2499 ตอนพี่ติ๊กสองขวบเศษ ส่วนดิฉันหนึ่งขวบ

พี่ติ๊กเกิดวันพุธ ที่ 12 สิงหาคม 2497 อายุแก่กว่าดิฉันปีเศษ เรามีกันสองคนพี่น้อง ร่วมชะตากรรมเดียวกัน สำหรับดิฉันแล้วพี่ติ๊กเป็นคนพิเศษเสมอ ช่วยเหลือดิฉันตอนเด็กๆหลายครั้ง ดิฉันอยากให้ใครๆ ได้รู้จักพี่ชายคนเดียวของดิฉันบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ ที่เขาเคยให้ดิฉัน เท่าที่ดิฉันพอจะทำได้ และที่สำคัญเรื่องราวของเขาอาจเป็นประโยชน์แก่คนอื่น

ตอนเล็กๆเราเล่นกัน ทะเลาะกันตามประสาเด็ก ผจญภัยมาด้วยกัน เขาชอบวาดรูปพวกการ์ตูนหุ่นยนต์ ซึ่งวาดได้ดีทีเดียว และยังชอบแกะดูอุปกรณ์ต่างๆ ว่าข้างในมีกลไกการทำงานอย่างไร ซึ่งถ้าเขาได้มีโอกาสเรียนทางนี้ ชีวิตเขาอาจจะเป็นอีกอย่างนึงก็ได้

เราเรียนหนังสือที่โรงเรียนเดียวกันสองแห่ง ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมที่โรงเรียนสมถวิล(พระโขนง) และที่โรงเรียนศรีวิกรม์อีกหนึ่งปี หลังจากพ่อกับแม่หย่ากันแล้ว ทั้งพ่อและแม่ต่างมีครอบครัวใหม่ ดิฉันต้องไปเข้าโรงเรียนประจำ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ตอนนั้นพี่ติ๊กอายุ 13 ขวบเศษ ส่วนดิฉัน 12 ขวบเศษ จากที่เดิมเราสองคนอยู่ในโลกใบเดียวกันสนุกสนานร่าเริงด้วยกัน กลับกลายเป็นอยู่ในโลกคนละใบ ที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ต่างคนต่างต้องไปเผชิญกับชีวิตของตัวเองตามลำพัง ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจนเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่ในส่วนลึกแล้วยังมีสายใยของความรักและความผูกพันระหว่างเราสองคนพี่น้องอยู่เสมอ

พี่ติ๊กเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นคนซื่อ จริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกับใคร แต่เมื่อครอบครัวแตกแยกเสียก่อนตั้งแต่เยาว์วัย ยังไม่แข็งแกร่งพอ โดยเฉพาะกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เป็นจุดอ่อนให้ผู้ที่ดูเหมือนหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ทำลายหรือแสวงประโยชน์ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่เราไว้ใจและคาดไม่ถึง เมื่อบ้านแตกสาแหรกขาด การเรียนของพี่ชายตกลงทันที ที่เรียนแห่งสุดท้ายของพี่ติ๊กคือโรงเรียนสยามธุรกิจ

เมื่ออายุครบยี่สิบปี พี่ติ๊กต้องไปเกณฑ์ทหาร ดิฉันยังจำได้ตอนที่เขาแต่งชุดทหารพลร่ม ของศูนย์สงครามพิเศษที่ลพบุรี ตอนนั้นถึงจะเป็นพลทหารเกณฑ์ แต่ดิฉันก็เห็นรอยยิ้มของพี่ติ๊ก ที่ฉายแววของความภาคภูมิใจที่ได้เป็นทหารรับใช้ชาติ ช่วงนั้นสถานการณ์สู้รบภายในประเทศยังคงรุนแรง ดิฉันจึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ แต่เขาก็ผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้อย่างปลอดภัย

เมื่อเรียนน้อย ไม่มีปริญญา ชีวิตของพี่ชายจึงค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ อดทนทำงานสารพัดหาเลี้ยงครอบครัว พี่ติ๊กมีลูกสาวสองคน เขารักลูกมากที่สุด พี่ติ๊กพยายามทำหน้าที่พ่ออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จวบจนวันสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 ขณะมีอายุ แค่ 40 ปีเท่านั้น

ดิฉันคิดทบทวนถึงเรื่องราวของพี่ติ๊กแล้ว ก็พบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีความตั้งใจและมีความพยายามที่จะต่อสู้ชีวิตเสมอ เพียงแต่เขาอาจหลงทางไปบ้างเท่านั้นเอง ส่วนจะหลงไปเองหรือเพราะใครก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้

ครั้งหนึ่งดิฉันเคยได้ยินพี่ชายพูดกับคนสำคัญในชีวิตคนนึงว่า “ ในชีวิตนี้ “....“ จะพูดดีๆกับผมซักครั้งได้มั้ย? “ ดิฉันได้แต่น้ำตาซึม เพิ่งตระหนักว่าพี่ชายของเรามีความบอบช้ำในใจขนาดไหน นี่อาจเป็นคำตอบของปริศนาทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของดิฉันก็ได้
(ดู ความเป็นมา )

อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น


อย่าตีลูกต่อหน้าคนอื่น

ยี่สิบกว่าปีก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะดิฉันนั่งแท็กซี่กลับจากที่ทำงาน คนขับแท็กซี่ชวนคุยไปเรื่อยๆ ตอนแรกดิฉันก็ฟังไปอย่างนั้นเองไม่ได้สนใจอะไรนัก มาสะดุดใจตอนที่เขาเล่าเรื่องการตีลูก เขาบอกว่า เขาจะไม่ตีลูกต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด เพราะกลัวลูกจะอับอาย ความอับอายนี้จะกลายเป็นแผลในใจเจ็บลึกยิ่งกว่าการถูกตีเสียอีก เป็นผลเสียซะมากกว่า เพราะแทนที่ลูกจะเชื่อฟัง การตีลูกต่อหน้าคนอื่นอาจยิ่งทำให้เด็กเสียคนหนักขึ้นไปอีกก็ได้ การพูดจาให้เข้าใจกันต้องมาก่อน ดิฉันรู้สึกทึ่งกับความคิดที่ดีของเขาขึ้นมาทันที และดิฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของเขาและจำเรื่องนี้ได้ไม่เคยลืมเลย ดิฉันไม่มีลูก แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ดิฉันจึงนำมาเล่าให้ฟังกัน

นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง


นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง

สามสิบหกปีก่อน ดิฉันเคยไปเที่ยวไร่ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งแถวโคราช ตอนนั้นเรากำลังลุ้นรอประกาศผลสอบเอ็นทร้านซ์ กลัวว่าถ้ารู้ผลก่อนอาจผิดหวังเที่ยวไม่สนุก เลยรีบเที่ยวซะก่อน เราไปกัน 4-5 คน สาวๆทั้งนั้น พอไปถึงก็จวนจะเย็นแล้ว น้ำในลำธารใสเย็นน่าลงไปว่ายเล่น พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกันทุกคน ดิฉันถูกน้องชายเพื่อนแซว ทันทีที่เขาเห็น ” นี่ขา...เหรอ คิดว่าซุง “ ตอนนั้นดิฉันอายแทบแย่ ดิฉันขาใหญ่แบบนักฟุตบอลจริงๆ ไม่ได้ทำอะไร เป็นมาตั้งแต่เกิด แม่ก็พูดบ่อยๆตั้งแต่ดิฉันจำความได้ว่า “ดูน่องซิ...”

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย สามีดิฉันเองเจอกันวันแรกก็แซวดิฉันเรื่องขาว่า “นึกว่าครูพละ...... ” อะไรประมาณนี้ วันนั้นดิฉันโกรธแทบแย่ แต่ในที่สุดเราก็เป็นเพื่อนกัน และใช้ชีวิตร่วมกันมาจนทุกวันนี้

ขาจะใหญ่ ขาจะเล็ก จะดำ จะขาว จะอะไรก็แล้วแต่ คงไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจกัน ยอมรับในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของกันและกันต่างหากที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืน

Wednesday, January 27, 2010

วัยรุ่นฟังหน่อย..... พระพุทธเจ้าช่วยวัยรุ่นได้


ดิฉันเห็นใจคนที่มีลูก สมัยนี้เลี้ยงลูกยากเพราะพ่อแม่ส่วนมากต้องทำงานงกๆ ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกให้มีความพร้อมทั้งกายและใจที่จะสู้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย แต่เราโชคดีที่เกิดเมืองพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีความเป็นอมตะและมีเหตุมีผลเสมอ เรื่องราวต่างๆในพระไตรปิฎกก็สอนเราได้หลากหลายแง่มุมของชีวิต

แต่ขณะนี้ข่าวของพระบางคนที่สื่อนำเสนอ หลายข่าวก่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธา ทั้งๆที่เป็นเรื่องของพระเพียงบางคนเท่านั้น พระพวกนี้ไม่ใช่ทุกอย่างของพระพุทธศาสนา ที่ทั้งหมดประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้จะทำให้หลายคนรวมทั้งเด็กๆยิ่งห่างไกลออกไปจากศาสนาพุทธทุกทีๆ แล้วต่อไปสังคมของเราจะเป็นเช่นไร

หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ที่จะต้องศึกษาและปฎิบัติ กันอย่างจริงจัง ให้มีสติรู้เท่าทันและแก้ปัญหาได้ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ศาสนาอิสลามเขาทำละหมาดกันเป็นประจำวันละหลายครั้ง แล้วทำไมเราไม่สอนลูกหลานให้หมั่นศึกษาและปฎิบัติหลักไตรสิกขานี้ทุกวันบ้าง วัยรุ่นทั้งหลายอย่ามองข้ามพระพุทธเจ้า ท่านช่วยลูกหลานได้จริง ลองศึกษาให้ถึงแก่นแล้วจะรู้เอง ขอให้อดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจจริงๆ เท่านั้น ผลที่ได้จะมีค่ามหาศาลเกินคุ้มแน่ และจะสามารถช่วยเราได้ตลอดชีวิตจริงๆ

การศึกษาของเด็กไทย


ดิฉันไม่ได้เข้ามาพูดคุยที่นี่นานเป็นปี คงเพราะยังไม่มีอะไรโดนใจจริงๆ แต่เมื่อไม่นานมานี้เผอิญเห็นคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พูดออกทีวีรายการหนึ่ง ว่ากระทรวงศีกษาธิการกำลังเปลี่ยนหลักสูตรซึ่งจะเริ่มในปี 2553 นี้เลย คือจะใช้หลักสูตรใหม่ที่จะเน้นสอนให้เด็กตั้งแต่ ป. 1 ถึง ป.3 อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น และที่สำคัญคิดวิเคราะห์ได้ในระดับหนึ่ง เห็นอะไรก็รู้จักคิดได้เอง ไม่ใช่ท่องจำแบบตะก่อน ส่วนวิชาการด้านอื่นๆค่อยมาเรียนหลังจากนั้นก็ได้ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เด็กๆ จะได้มีความสุข สนุกกับการเรียน ไม่ต้องหอบตำราไปโรงเรียนเยอะแยะให้หนักเกินไป
ถ้าเป็นจริงตามนี้ อนาคตของชาติคงเป็นความหวังให้ประเทศไทยของเราได้แน่ๆ เรื่องนี้ดิฉันเจอมากับตัวเอง คือรู้จักคิดก็เมื่ออายุมากแล้ว เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ก็ยินดีมากที่เห็นการนำเสนอของท่านอู๊ดด้าแบบนี้ เด็กรุ่นต่อไปจะมีประสิทธิภาพนำพาประเทศชาติให้อยู่รอดได้แค่ไหนอยู่ที่สังคมจะช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ต่อไปให้ประสบผลสำเร็จ เพราะคนที่เสียประโยชน์จากการปฎิวัติหลักสูตรการศึกษาแบบนี้เขาคงไม่อยู่เฉยแน่ ท่านที่มีลูกหลานจะว่ายังไง...............